Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 




 

 

นิพพาน

จุดหมายปลายทางของชีวิต

(๓)

ครั้งหนึ่ง มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ถ้าเราทุกคนแน่นอนว่าต้องถึงพระนิพพานวันยังค่ำแล้ว เราจะไปขวนขวายปฏิบัติธรรมให้เหนื่อยยากทำไม, หาความสุขในทางโลกเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะถึงกำหนดที่ถึงเข้าเอง มิดีกว่าหรือ. มิเป็นการฉลาดกว่าหรือ? ข้าพเจ้าตอบเขาว่า แน่นอนนักที่ทุกคนก็กำลังเป็นเช่นนั้นเองแล้ว โดยไม่ต้องตั้งปัญหาหรือคิดว่าเราควรชวนกันดำเนินรูปนั้น. แต่เราไม่รู้สึกเอง จึงมาตั้งปัญหาหรือคิดทำเช่นนั้นทับลงไปอีก. เรายังตาบอด, ยังกำลังปล่อยให้เรื่อยๆ ไปตามใจของเรา, ไม่มีอะไรที่มีอำนาจมากไปกว่าความรู้สึกหรือเห็นแจ้งภายในจิตของเราเอง และสิ่งนั้นมันก็บังคับควบคุมให้เราดำเนินไปโดยรูปนั้นอยู่อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว. การที่ทำตามความคิดแนวใหม่นั้น จึงไม่เป็นการแปลกกว่ากัน หรือฉลาดกว่าเก่าแต่อย่างใดเลย นอกจากจะช่วยให้ช้าไปกว่าธรรมดา หรือที่ควรจะเป็นเสียอีก ข้าพเจ้าลองถามเขาบ้างว่า "ถ้าหากว่ามีใครสักคนหนึ่ง อาจบันดาลให้ท่านถูกสลากกินแบ่งรางวัลจำนวนล้านได้ ตามแต่ที่ท่านจะประสงค์ให้ถูกเมื่อไร, เช่นนี้ ท่านจะขอร้องให้เขาบันดาลเพื่อให้ท่านถูกพรุ่งนี้ หรือต่อเมื่ออีกสัก ๕๐ ชาติล่วงไปแล้ว? " เขายิ้ม และละอายที่จะตอบว่า พรุ่งนี้.

เราจะเห็นได้สืบไปเป็นลำดับว่า สิ่งที่เราอยากมากที่สุด ก็คือสิ่งที่เราเข้าใจ (ผิดหรือถูกก็ตาม) ว่ามันดี หรืออร่อยที่สุดนั่นเอง คนตาบอดมองไม่เห็นแสงแห่งนิพพานจะปรารถนาพระนิพพานได้อย่างไร. จะเห็นคุณค่าของพระนิพพานว่าสูงสุดกว่าสิ่งอื่นได้อย่างไร. ในเมื่อตาเนื้อๆ ของเขาชิงเอาเวลาไปรู้จักหรือแสวงหาเหยื่อในโลกเสียจนหมด, เขากำลังอยากมีเงินมากๆ เพื่อหาผู้บำเรอ (ซึ่งเขาเลี่ยงอ้างว่าภรรยา), ตึกสวยๆ, รถยนต์งามๆ, ยศศักดิ์ชั้นหรูๆ ฯลฯ. พยายามเพื่อให้ได้ในชาตินี้ หรืออีกกี่ชาติก็เอา ขอแต่ให้ได้ก็แล้วกัน, และขออย่าเพ่อให้พระนิพพานถลันเข้ามาขวางหน้าเสียก่อน. ถ้าเขารู้จักและเข้าใจพระนิพพานมากเท่าที่เขาเข้าใจเงินรางวัลล้านบาทนั่นแล้ว เขาจะต้องขอให้ท่านผู้วิเศษบันดาล เพื่อลุถึงพระนิพพานในนาทีนี้ทีเดียว แม้จะผัดพรุ่งนี้ ก็ยังไม่พอใจ ถ้าเป็นไปได้.

แต่มีพุทธบริษัทจำนวนมาก ที่ต้องการพระนิพพาน ทั้งที่ยังไม่ทราบว่า พระนิพพานคืออะไรแม้แต่น้อย. คราวหนึ่งได้ลองตั้งปัญหาซึ่งไม่ใช่ชื่อสิ่งต่างๆ ตามที่เรียกกันมาก่อน ถามขึ้นในที่ประชุมแห่งหนึ่งว่า มีสถานที่สองแห่ง แห่งหนึ่งต้องการสิ่งของอะไร เป็นได้อย่างนั้นทันที, อีกแห่งหนึ่งจะทำให้ใจของผู้ไปถึงว่างเฉย เงียบพ้นจากอำนาจของอารมณ์ทุกประการ จนในที่สุด ดับหายไป อย่างไม่มีอะไรเหนือสำหรับมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีกต่อไปเช่นนี้ ใครจะเลือกไปในที่ไหน? ทุกคนที่ตอบ ตอบว่าเอาแห่งแรก, อีกสองสามคนนิ่ง แต่ที่นิ่งก็เพราะรู้ทันว่า เป็นปัญหาล่อถามของข้าพเจ้า. กลัวจะพลาดเลยนิ่งเสีย, คาดว่าหากสองสามคนนี้ตอบ ก็คงตอบเช่นเดียวกัน. ทีนี้ถามต่อไปว่า เมื่อถึงที่นั้นแล้วจะต้องการอะไร? เขาตอบว่า ต้องการของดีๆ ที่สุด เพื่อทำบุญให้สูงยิ่งสมใจรัก. ข้าพเจ้าถามอีกว่า เพื่ออะไรกัน? บางคนตอบว่า เพื่อไปสวรรค์, บางคนเพื่อไปพระนิพพาน.

ขอให้ลองคิดดูทีหรือว่า สิ่งแรกในปัญหานั้นก็คือสวรรค์อยู่แล้ว, พวกนี้ไม่รู้จักแม้แต่สวรรค์ที่ตนกำลังปรารถนาอยู่ ไปถึงสวรรค์แล้ว กลับเสียสละเพื่อหวังสวรรค์อย่างเดียวกันอีก เช่นนี้จะไปสวรรค์ได้อย่างไร สิ่งที่สองในปัญหานั้น ก็คือพระนิพพานอยู่แล้ว เขายังไม่ต้องการ, แต่ต้องการบันไดสำหรับพาดขึ้นชั้นพระนิพพาน ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจในการที่เขาทั้งหลายมีความอยากไปนิพพาน ทั้งที่ไม่รู้จักพระนิพพาน, หรือรู้น้อยเกินไป เพียงสักว่า ชื่อศักดิ์สิทธิ์ ชนิดหนึ่งซึ่งทุกๆ คนว่าดีที่สุดเท่านั้น. และได้เห็นชัดทีเดียวว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระนิพพานนั้น จะต้องถือว่ามีตัวมีตน และมีสิ่งที่ตนยึดถือไปก่อน, มิฉะนั้น ก็จะวางๆ จับๆ อยู่ในสิ่งที่ตนสงสัยนั่นเอง และเต็มไปด้วยความว้าเหว่ หรือความกลัวอันเป็นความทุกข์ และในที่สุด ก็ตายเปล่า, หรือกลับช้ากว่าผู้ที่ยึดถือสาวคืบหน้าไปข้างหน้าตามลำดับ, ประโยชน์โลกนี้, ประโยชน์โลกหน้า ประโยชน์สูงสุด คือพระนิพพาน ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่สามารถเข้าใจพระนิพพาน อันมีนัยลี้ลับ เช่นว่าไม่มีการเกิดขึ้น แต่มีอยู่ตลอดอนันตกาลดังนี้เป็นต้น จนกว่าเมื่อไรเขาจะได้บรรลุพระนิพพานนั้นเข้าจริงๆ การรู้จักพระนิพพานโดยอนุมาน หรือโดยอุปมาน ไม่อาจมีได้เลยสำหรับผู้ที่มีปัญญา หรือมีอุปนิสัยเช่นนี้. 

ในที่จวนจะจบลงนี้ ขอสรุปกล่าวอย่างสั้นๆ อีกแนวหนึ่งว่า พระนิพพานเป็นจุดปลายทางของทุกคน ความดึงดูดเข้าหาสถานะแห่งพระนิพพาน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ สัญชาตญาณของความอยากเป็นอิสระย่อมมีอยู่เสมอ แต่ถูกอำนาจแทรกแซงบางอย่าง เช่น ผลกรรมเป็นต้น คอยเหนี่ยวออกนอกทางอยู่เสมอเหมือนกัน, เพราะตนเป็นผู้ตาบอด ไม่รู้จักทำความปลอดภัยแก่ตัวเอง หรือการเดินทางของตน.

กายเปรียบเหมือนลำเรือ ใจเปรียบเหมือนนายเรือ สังสารวัฏเปรียบเหมือนกับทะเลหลวง, โลกนั่นโลกนี่เปรียบเหมือนท่าเรือสำหรับการค้าขาย, ผลบุญหรือผลบาปในชาติหนึ่งๆ ในโลกหนึ่งๆ คือการค้าขายของนายเรือที่ขาดทุนหรือได้กำไร ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งๆ การได้ถึง "เกาะ" แห่งหนึ่งซึ่งนายเรือพอใจถึงกับหยุดการท่องเที่ยวไปในทะเลอย่างเด็ดขาดนั่นคือ พระนิพพาน.

เราทุกคน คือเรือรวมทั้งนายเรือ. เมื่อเราหรือโลกพากันสาละวนแต่เรื่องรูปหรือลำเรือ จนลืมใจหรือนายเรือ นายเรือก็จะตายเสียก่อนที่จะนำเรือไปพบเกาะที่ว่านั้น. แต่ถ้าสนใจในนายเรือหรือจิต จนลืมลำเรือเสียทีเดียว เรือก็จะเปื่อยพังทำลายลงเสีย ก่อนที่นายเรือจะได้ใช้อาศัยไปถึงเกาะที่กล่าวนั้น. เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ดำเนินสายกลาง อันเป็นสายแห่งปัญญา ไม่ประมาทไปในฝ่ายตึงหรือฝ่ายหย่อน.

ความจริงตัวเราไม่มี. ที่มีคือเบญจขันธ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กาย กับ จิต" หรือเรือกับนายเรือเท่านั้น นายเรือก็ไม่ใช่เรา เพราะแม้มันจะได้ถึงเกาะคือพระนิพพานนั่นหรือไม่ก็ตาม มันก็ยังคงไม่อยู่ในอำนาจของใคร, รังแต่จักแตกดับไปเป็นธรรมดาของมันเท่านั้น เกาะหรือพระนิพพานนั้นเล่า ก็สักว่าเป็นเกาะหรือพระนิพพานของตัวสิ่งนั้นเอง, รับรู้กับใครไม่ได้ เหมือนแสงสว่าง เมื่อเราเปิดหน้าต่างมันก็เข้ามาสว่างให้เรา ปิดเสียก็มืดอีก แต่แสงสว่างนั้นคงเป็นแสงสว่างอยู่นั่นเอง.

ถ้าสิ่งใดควรถือว่าเป็นตัวตน, สิ่งนั้นนอกจากจะต้องไม่รู้จักแตกดับไม่อาศัยผู้อื่นหรือสิ่งอื่นแล้ว ยังจะต้องอยู่ในบังคับและรับรู้อะไรกันได้. นี่ ! เมื่อมีแต่สิ่งทั้งหลายซึ่งล้วนแต่เป็นไปตามเรื่องของต้นเหตุของตัวมันเอง: หรือไม่อยู่ในอำนาจของใคร และรับรู้อะไรกะใครไม่ได้ดังนี้ มันก็ไม่มีตัวตน แม้กระทั่งพระนิพพาน ถ้าขืนมีเพราะอำนาจความรู้สึกบางชนิด มันหาใช่ตัวตนอันแท้จริงไม่, ยังเป็นฝักฝ่ายแห่งอวิชชาอยู่ดี. การลุถึงพระนิพพานจึงเป็นจุดปลายทางของทุกคนเท่านั้น. 

เบญจขันธ์ คือกายกับใจ กลุ่มใด ยังมีอวิชชาอยู่ภายในมัน เบญจขันธ์กลุ่มนั้น ก็มีอุปาทานอันเป็นเหตุให้ยึดถือตัวเองว่าเรา, เราเป็นเรา, ฉันเป็นฉัน ฯลฯ เป็นต้น. "เรา" จึงคงอาศัยมีอยู่ได้แต่เพียงในเบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทานอยู่ภายใน, และเบญจขันธ์ชนิดนี้ยัง "สัมผัส" กันไม่ได้กับพระนิพพาน จึงต้องเต็มไปด้วยทุกข์ และกลิ้งเกลือกไปในวัฏสงสาร อันสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ระเกะระกะไปด้วยสิ่งเสียบแทงเผาลน.

เบญจขันธ์ใด ภายหลังจากที่ได้ช่วยตัวมันเอง ด้วยการปฏิบัติธรรม เป็นเบญจขันธ์ที่อวิชชาและอุปาทานตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีเราในเบญจขันธ์นั้น เบญจขันธ์นั้น เหมาะพอสำหรับการสัมผัสกันเข้ากับพระนิพพาน, มันจึงได้รับรส คือความเยือกเย็นแสนที่จะเย็นของพระนิพพาน จนกว่ามันจะแตกดับไปอย่างไม่เหลือเชื้ออะไรไว้ สำหรับการเกิดอีก เช่นเบญจขันธ์ที่ยังมีอวิชชาหรือมี "เรา" มีความสำคัญว่า "เรา"

เบญจขันธ์ที่หมดอวิชชา แต่ยังไม่แตกดับ ยังดื่มรสพระนิพพานอยู่นั้น, ภาวะอันนี้ เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน, หรือนิพพานเฉยๆ. เมื่อใดเบญจขันธ์นั้น ทำการแตกดับลงอย่างหมดเชื้อ, ภาวะอันนี้เราเรียกกันว่า อนุปาทิเสสนิพพาน  หรือปรินิพพาน. การปฏิบัติธรรม หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อริยมรรคมีองค์แปด นั่นเป็นตัวทางให้ถึงพระนิพพานนั้น. ข้าพเจ้าหรือท่านผู้อ่านทุกคน จะยังอยู่ห่างไกลต่อพระนิพพานเพียงใด นั่นยากที่ผู้อื่นจะรู้แทนกันได้ นอกจากตัวเอง. เหตุนี้ ท่านจึงกล่าวไว้อย่างน่าจับใจว่า ธรรมทั้งหลาย กระทั่งถึงพระนิพพานเป็นที่สุดนั้น เป็นสันทิฏฐิโก คือ ของใครใครเห็น, ดังนี้ สำหรับข้าพเจ้า สามารถเพียงแต่ขอยืนยันว่า ทุกคนมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่พระนิพพานเท่านั้น. 

๓๐ สิงหาคม ๒๔๗๙

เรื่องนี้อุทิศแด่ "ผู้คะนองธรรม"


๑. เรียกโดยโวหารที่ใช้เรียกกันอยู่ทั่วๆ ไปในเวลานี้ ด้วยการบัญญัติความหมายไว้เช่นนี้ในวงการศึกษาในประเทศไทยเรา แต่ที่จริงคำๆ นี้ยังเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยกันอยู่บางอย่าง

นิพพาน จุดหมายปลายทางของชีวิต (๒) ชุมนุมเรื่องสั้น สารบัญ
           คัดจาก หนังสือ ชุมนุมเรื่องสั้น พุทธทาสภิกขุ  พิมพ์ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ