(๒)
ตัวพระนิพพานคืออะไรเล่า?
เท่าที่กล่าวมาแล้ว
กล่าวแต่ฝ่ายที่ไม่ใช่,
ส่วนที่ใช่หรือลักษณะของพระนิพพานนั้นคืออะไร.
ในที่นี้ก่อนอื่นทั้งหมด,
ผู้อ่านต้องไม่เข้าใจว่าผู้บรรยายเป็นผู้ลุถึงนิพพาน
หรือพบพระนิพพานแล้ว.
พึงเข้าใจแต่เพียงว่าเป็นนักศึกษาค้นคว้าด้วยกันเท่านั้น.
ถือเสียว่าเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้แก่กันและกัน
เท่าที่จะได้มาจากการค้นคว้าภายในห้องทดลอง
คือ มันสมอง,
และตามแนวแห่งพระบรมพุทโธวาท
ของพระผู้มีพระภาคองค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน.
พระนิพพานคืออะไรเล่า,
พระนิพพานคือ
สภาพชนิดหนึ่ง
ซึ่งเป็นตัวความบริสุทธิ์
ความว่าง
ความเบา
ความสุขอันแท้จริง,
ความชุ่มชื่น
เยือกเย็น
ฯลฯ
อย่างสุดยอด,
เป็นสภาพซึ่งแม้จะพูดว่ามีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง
ก็ยังน้อยไป,
พูดว่าอยู่คู่กับสิ่งทั้งปวง
ก็ยังน้อยไป,
เพราะเป็นสภาพที่เป็นอยู่เช่นนั้นโดยตัวเองจงตลอดอนันตกาล.
เราจึงกล่าวได้แต่เพียงว่า
พระนิพพานคือ
อมตธรรม
สิ่งที่ไม่มีการตาย.
จิตของเราพบกันเข้ากับอมตธรรมนี้จริง,
แต่จิตนั่นหาใช่
อมตธรรมไม่.
พระนิพพานจึงคือสิ่งที่มีอยู่สำหรับให้เราหรือจิตพบมันจะได้เยือกเย็นเป็นสุข
ถึงยอดสุดเพราะเหตุนั้นได้,
และทุกคนควรพยายามทำเพื่อจะได้เสียก่อนแต่จะตายลงไป.
ถ้าจะปล่อยให้จิตท่องเที่ยวไปด้วยความบอดของมัน
มันจะเที่ยวไปด้วยอาการอันซ้ำซาก
เช่นกับที่เคยเที่ยวมาแล้วไม่รู้กี่แสนชาติ
ในวัฏสงสารอันยืดยาวนี้
การซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการเกิดแล้วตายๆ
และในระหว่างเกิดตายก็เต็มไปด้วยความกดทับ
นั่นมันจะดีอะไร,
เพราะมันเป็นไปเองตามประสาความมืดบอด
เช่นเดียวกับความล้มลุกคลุกคลานของคนตาบอด
ซึ่งปราศจากไม้เท้าและผู้จูง.
การลืมตาและพบกับแสงสว่างกล่าวคือพระนิพพานนี้นั้น
มันเป็นยอดที่สุดของความสุขเป็นความหยุดจบลงของความอยากความปรารถนา,
เป็นความหมดสิ้นของความสงสัยในสิ่งที่อยากจะรู้,
เป็นยอดสุดของความรู้ทุกๆ
โลก ทุกๆ สมัย
และทุกๆ คน.
เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้
ก็เป็นการแสดงให้เห็นได้บ้างแล้วว่า
พระนิพพาน
คือจุดปลายทางของชีวิตทุกคน,
ถ้าใครจะถาม
ข้าพเจ้าก็ตอบดังนี้
เคยตอบมาแล้วก็ดังนี้,
และจะตอบต่อไปก็ดังนี้.
ทุกคนต้องไปพระนิพพาน!
ทุกคนจะต้องลุถึงพระนิพพานไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ทั้งที่ในบัดนี้
จะเป็นคนโง่หรือคนฉลาดก็ตาม.
ทุกคนจะจบการเดินทางของเขาลงในชาติที่บรรลุพระนิพพาน,
ในชาติที่ตาภายในของเขาหายบอด,
เพราะทุกคนมีที่สุดแห่งสงสารวัฏ
เว้นแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น.
ทุกคนถูกธรรมชาติฝ่ายสูงค่อยๆ
พยุงเขาขึ้นๆ
เรื่อยๆ
แต่จะได้ช้าหรือเร็ว
นั่นแล้วแต่ความหนักมากหรือน้อยของเขา,
มันเป็นน้ำหนักแห่งความโง่หรือกิเลส,
หรืออีกอย่างหนึ่ง
คือความบอดมากหรือบอดน้อย.
เพราะฉะนั้นทุกคนแม้จะกลับมีการกลับตกต่ำบ้าง
ทางกายหรือทางจิต
ในขณะที่ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร,
แต่ตารางที่แสดงงบยอดใหญ่ของเขา
จะต้องเลื่อนสูงขึ้นๆ
เสมอ
แม้เขาจะเคยดิ่งลงสู่อเวจีครั้งหนึ่งแล้ว
หรือหลายครั้ง.
ทุกคนไปตามคติและผลกรรมของตนเองก็จริง
แต่ที่
เขาเกิดครั้งหนึ่งนั้นมันเป็นการศึกษาของเขาทุกครั้ง,
แม้ในบางชาติเขาจะเป็นเด็กดื้อ
แต่ในภายหลังหรือชาติหลัง
เขาย่อมเข็ด
ทั้งที่ตามธรรมดาเขารู้สึกราวกะว่าชาตินั้นๆ
ที่เขาเคยเกิดมาแล้ว
ไม่มีอะไรติดต่อสืบเนื่องกันเลย.
ตามกฏแห่งวิวัฒน์
ตามแนวแห่งวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน
เช่น
ชีววิทยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คือลัทธิแห่งดาร์วินก็ตาม
หรือตามแนวแห่งพุทธศาสนา
คือกฏแห่งปัจจัยยี่สิบสี่ประการ
และ
ปฏิจจสมุปบาท
ก็ตาม,
แม้ที่สุดแต่ตามที่เราจะสังเกตได้ง่ายๆ
ทั่วไปว่า
โลกนี้ค่อยๆ
เลื่อนสู่ระดับสูงขึ้นๆ
ไม่ทางฝ่ายรูปธรรม
ก็ต้องฝ่ายจิต;
ที่จะหยุดนิ่งหรือตกต่ำลงนั้น
เป็นไม่มี,
แล้วแต่ยุคนั้นโลกจะยึดเอาฝ่ายจิต
หรือฝ่ายรูปเป็นส่วนสำคัญ,
ก็ตาม;
ทั้งหมดนี้
ย่อมแสดงว่า
สัญชาตญาณที่เป็นภายในพร้อมทั้งสิ่งส่งเสริมข้างนอก
มันล้วนแต่จะดึงไปในฝ่ายดีขึ้นๆ
เพราะตัณหาของหมู่สัตว์
เป็นเช่นนั้น.
เมื่อใดพากันหนักไปในฝ่ายรูป
ก็ถึงจุดปลายทางของฝ่ายรูป
เช่นที่วิทยาศาสตร์แผนปัจจุบันกำลังก้าวพรวดๆ
ไป,
และเมื่อใดโลกพากันหนักไปในฝ่ายจิต
ก็จะพากันลุถึงจุดปลายทางฝ่ายจิต
เช่นเดียวกับยุคแห่งพระอรหันต์ที่ผ่านพ้นมาแล้ว.
แต่อย่างไรก็ดี
แม้โลกนี้จะเป็นเด็กดื้อดันทุรังไปในฝ่ายรูป
เมื่อ "เข็ดฟัน"
เข้า
ก็ย่อมหมุนกลับไปสู่ฝ่ายจิตเอง.
และในยุคนั้นแหละ
จะมีสัตว์จำนวนมาก
จำนวนหนึ่ง
ซึ่งหลุดพ้นออกไปจากโลก
ได้ทุกคราวที่โลกหมุน
มาสู่ราศีนี้.
เมื่อเราจะรวบเค้าความที่ใหญ่ที่สุดให้สั้นที่สุดแล้ว
เราจะกล่าวได้พร้อมทั้งเหตุผลว่า
สัญชาตญาณของสัตว์โลกย่อมหมุนไปหาฝ่ายดี
ไม่ฝ่ายรูปก็ฝ่ายจิตดังกล่าวแล้ว
สองอย่างนี้เท่านั้น.
เมื่อทุกคนมีอำนาจ
"กายสิทธิ์"
อันนี้อยู่ในตน
มันก็แน่นอนว่าจะถูกดึงดูดไปหาสถานะที่ถึงหรือพบกับพระนิพพาน
ทุกคนเมื่อได้ออกโรงเป็นตัวละครโลก
ในฉากที่เขาทะเยอทะยานกระลิ้มกระเหลี่ยใคร่จะแสดง
ซ้ำซากเข้าก็เบื่อโลก
ซึ่งเรียกว่ามี
"นิพพิทา"
เข้าสักวันหนึ่ง.
ในวันนั้นแหละ
เมื่อหน่ายก็คลายความกอดรัดยึดถือ,
เมื่อไม่ยึดถือก็หลุดพ้นจากเปลือกหุ้ม
และพระนิพพานเข้าสัมผัสจิตของเขาได้เมื่อนั้น
เรารู้จักตัวเราด้วยสายตาสั้นๆ
แค่ชาตินี้
จึงจับตัวความอยากและความเบื่อที่มีสายสัมพันธ์อันยาวยืดหลายร้อยชาติไม่ได้,
ทั้งที่แม้เราจะเคยเห็นเด็กบางคนเกิดมาถึงก็เบื่อกาม
มีโลภ โกรธ
หลง
น้อยกว่าธรรมดา,
เราก็หาเข้าใจไปในทำนองว่า
เป็นผลของชาติก่อนๆ
ของเขาไม่.
มิหนำซ้ำ
มีความเห็นไปในทำนองว่า
เด็กคนนั้นมีมันสมองไม่สมประกอบเสียอีก
โดยอ้างหลักจิตวิทยา
หรืออะไรที่ตนอยากอ้างมา
ตามความอยากของตนเอง.
ถ้าหากเรามีสายตายาว
มองเห็นได้ข้ามชาติแล้ว
เราก็ต้องฉลาดมากกว่านี้หลายเท่านัก
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครอยากสร้างสายตาชนิดนั้น
เพราะไม่รู้จักบ้าง
เพราะกลัวว่าโลกจะหมดรสชาติที่หอมหวนไปบ้าง.
แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่เป็นเช่นนั้นแหละก็ตกอยู่ในจำพวกที่ถูกพัดพาไปหาพระนิพพานดุจกัน
เพราะไม่มีอะไรจะมามีอำนาจยิ่งไปกว่าผลกรรมอันปรุงสัญชาตญาณ
และยิ่งกว่าความจริงอันไม่รู้จักแปรผันไปได้นี้เลย.