Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 




เราถือศาสนาอะไรกันแน่

 

ศาสนา โบสถ์วิหาร การวัดวา

ศาสนา คือพระธรรม คำสั่งสอน

ศาสนา ประพฤติธรรม ตามขั้นตอน

ศาสนา พาสัตว์จร จวบนิพพาน

 

ศาสนา เนื้องอก พอกพระธรรม

ศาสนา น้ำครำ ของเป็ดห่าน

ศาสนา ภูตผี พานิชการ

ศาสนา วิตถาร กวนบ้านเมือง

 

ศาสนา ใหม่ใหม่ ร้ายกว่าเก่า

ศาสนา ของพวกเจ้า โจรผ้าเหลือง

ศาสนา ปัจจุบัน พันการเมือง

ศาสนา มลังเมลือง เมืองคนเย็นฯ  

 


ินิทานเรื่องสั้นของท่านพุทธทาส  เรื่อง สัตว์ ๔ เท้า

นิทานเกิดขึ้น ในคืนเดือนมืด ฝนตกฟ้าร้อง คึกคนอง น่าสพึงกลัว เมื่อหลายหมื่นปี มาแล้ว พวกนก และ หนู ได้เกิดความสงสัย ไต่ถาม กันขึ้นว่า พวกสัตว์สองขา ตัวโตกว่าลิง ที่รู้จักเข้าอาศัย อยู่ตามถ้ำ ที่สบายๆ นั้น เกิดไปได้ ความรู้ใหม่ ที่ไหนมา จึงได้ชอบ ทำอาการ หมอบหน้า จรดพื้นดิน นานๆ เสมอๆ ทุกๆ คราว ที่เกิด ความกลัวขึ้น ส่วน สัตว์สี่เท้า ทั้งหลาย ยังคง ไม่รู้ไม่ชี้ ต่อการทำเช่นนั้น และ ก็ไม่เห็นมีอะไร แปลกประหลาด เกิดขึ้น แก่พวกมันเลย

หนูแก่ตัวหนึ่ง ขอเวลาไป ติดตามเรื่องนี้ และตรึกตรอง อยู่หลายวัน ในที่สุด ก็ได้มาแถลง ในที่ประชุม แห่งสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นว่า พวกสัตว์สองขา ที่อยู่ถ้ำ เหล่านั้น ได้มีความคิด งอกเงย ออกไปว่า มีสิ่งลึกลับ ที่ใครๆ มองไม่เห็นตัว มีอำนาจ บันดาล สิ่งต่างๆ ให้เป็นไปได้ ตามที่มันต้องการ ใครๆ ควรแสดงอาการ ยอมแพ้ ต่อสิ่งที่มีอำนาจ ลึกลับ นั้น เพื่อสิ่งนั้น จะได้พอใจ และบันดาล อะไรๆ ให้เป็นไป แต่ในทางที่ไม่เป็นภัย แก่พวกเรา ในที่ประชุม ได้เกิด มีคำถาม กันขึ้นว่า เราจะเอาอย่าง กันไหม เมื่อได้ ถุ้งเถียง กัน เป็นการใหญ่ ไม่ตกลงกันได้แล้ว ก็ได้ลงมติกันว่า ให้รอดู ผลแห่งการกระทำ ของสัตว์สองขา เหล่านั้น และ ผลแห่งการ ไม่รู้ไม่ชี้ ของ สัตว์สี่ขา ทั้งหลาย ไปให้รู้แน่นอน เสียก่อน แล้ว จึงค่อย วินิจฉัย เด็ดขาด กันทีหลัง และได้รอกัน เรื่อยมา จนถึง ยุคปรมาณู นี้ ก็ยังไม่สามารถ จะวินิจฉัย ว่าอย่างไรได้ พวกสัตว์สองขา ที่มีวิวัฒนาการ มามากมาย ก็ยังคง ก้มหน้า ติดดิน ไปตามเคย มีผลเกิดเป็น ลัทธิ พิธีต่างๆ ขึ้นมากมาย ในโลก ส่วนสัตว์สี่ขา ก็ยังเงยหน้า ไม่รู้ไม่ชี้ ในสติปัญญา และ ความรู้ อันใหม่นี้ ไปตามเดิม ทุกประการ โดยไม่มีผลอะไร เกิดขึ้น ที่ผิดแปลก ออกไป แม้แต่นิดเดียว พวกนกหนู เหล่านั้น ก็ยังไม่รู้ว่า จะวินิจฉัย กันอย่างไรถูก จนบัดนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: มันเป็นการเหลือวิสัย ของบรรดา พระภูมิ หรือ ผีสาง เทวดา เทพารักษ์ เหล่านั้น ที่จะลงโทษ โดยบันดาลให้ สุนัข ที่เยี่ยวรด เสาศาล เป็นต้น เป็นอะไรไปได้ แม้เพียงแต่ โรคปัสสาวะขัด เจ็บปวด ร้องครวญคราง หรือว่า จะรู้จักทำ พวกเทวดา กันเอง ให้มีความรู้ เรื่องสุขภาพอนามัย รู้จักรังเกียจ เยี่ยวสุนัข กันเสียบ้าง ก็หาไม่ แต่สำหรับ คนเรานั้น อย่าหาญไปเอาอย่าง สุนัข เข้าเป็นอันขาด จะทำให้ เสียเปรียบ สัตว์สี่ขา ในข้อที่จะ ต้องกลายเป็น พวกย้อนหลัง ไปตั้งต้น วิ่งแข่ง ทางวัฒนธรรม กับสัตว์เหล่านั้น มาใหม่ ซึ่งเผลอเข้า ก็จะเปลี้ยตกอยู่ ล้าหลัง พวกสัตว์สี่ขา เช่น สุนัข เป็นต้น เหล่านั้น ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก โดยไม่ทันรู้ตัว แต่อย่างไรก็ตาม ในบัดนี้ ปัญหายังคงมี อยู่ว่า ใครกำลัง น่าสมเพช กว่าใคร โดยมีกำลังใจ เข้มแข็ง หรือ อ่อนแอ กว่ากัน? กล้าหาญ หรือ ขี้ขลาด กว่ากัน? อวิชชาของใคร งอกงาม หนาขึ้น เรื่อยๆ หรือ ไม่มีที่สิ้นสุด และของใคร ยังอยู่แต่เพียง ระดับเดิม? 

 

BACK NEXT

 

คัดจากหนังสือ นิทานเซ็น มหรสพทางวิญญาณเพื่อจริยธรรม เล่าโดย.. ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ณ หอประชุมคุรุสภา พุทธศักราช ๒๕๐๕ พิมพ์โดย ธรรมสภา