Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 

 
ฟ้าสางทางการขุดเพชร

คำนำ

ข้อความต่อไปนี้ เป็นคำปราศรัยที่กล่าวแก่ชุมนุม ผู้มาร่วมบำเพ็ญบุญล้ออายุ ปีที่ ๘๐ ของข้าพเจ้า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ มีข้อความที่ควรบันทึกไว้ เป็นอนุสรณ์ตลอดไป เกี่ยวกับสถานภาพต่างๆ ที่มีปัญหา และมีข้อความสำคัญในการที่จะเตรียมตัวไว้ สำหรับการก่อกู้พระพุทธศาสนา ในวาระสมัยแห่งยุคปรมาณู เช่นการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา, การเตรียมพระไตรปิฏก ที่เหมาะสมสำหรับยุคปรมาณู ที่สามารถเผชิญหน้ากับ ความต้องการของมนุษย์ แห่งยุควิทยาศาสตร์ อันจะถือได้ว่าเป็นยุคสำคัญที่สุดของมนุษย์โลก สำหรับการอยู่รอด หรือการสูญสลายไปแห่งมนุษยธรรม. หวังว่าจะได้รับการสนใจพิจารณากัน ในหมู่พุทธบริษัทเรา ตามที่ควร.

พุทธทาส อินฺทปญฺโญ

 

 

การอ้างพระไตรปิฎกสวดภาณยักษ์ 

ยังมีสูตรที่น่าหัวอยู่อีกสูตรหนึ่ง ในคัมภีร์ทีฆนิกาย คือสูตรที่ชื่อว่า อาฏานาฏิยสูตร เป็นเรื่องราวของพวกยักษ์ล้วนๆ: มีหัวหน้ายักษ์ตนหนึ่ง มาเฝ้าพระพุทธองค์เล่าเรื่องเมืองยักษ์โดยพิสดารถวายให้ทราบ ยืดยาวเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็ขอร้องพระพุทธเจ้าให้สอนเรื่องนี้แก่พระสงฆ์สาวก อุบาสกอุบาสิกา ให้รู้ไว้จำไว้ แล้วยักษ์ทั้งหลายจะไม่เบียดเบียนคนเหล่านั้น. ฟังดูมันก็เข้าทีอยู่ที่ว่า ถ้ารู้เรื่องยักษ์แล้ว ยักษ์ทั้งหลายก็จะไม่เบียดเบียนคนเหล่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ มันรู้ชนิดที่ทำให้งมงาย ในเรื่องยักษ์นั่นเอง แล้วความงมงายทั้งหลายของคนเหล่านั้น มันก็จะเกิดเป็นยักษ์ตัวใหม่ แห่งโมหะอวิชชา ที่ร้ายกาจยิ่งไปกว่ายักษ์ตัวเดิม แล้วจะว่าอย่างไร.

แต่มันเป็นเพราะฟังสืบๆกันมา ทำตามๆ กันมา เชื่อเสียงเล่าลือที่ได้ฟังมา เพราะไม่อาศัยหลักกาลามสูตร จึงได้เอามาทำเป็นพิธีสวดภาณยักษ์. พระโก่งคอร้อง ยักโข วา ยักขินี วา ให้ทายกทายิกาฟัง โดยอ้างวา่มีในพระไตรปิฎก, เดี๋ยวสวดที่นั่น เดี๋ยวสวดที่นี่ จนเป็นปรัมปราสืบกันมาไม่อาจจะยกเลิก โดยไม่คำนึงถึงกาลามสูตรข้อที่ ๒ ที่ว่า มา ปรมฺปราย คือ อย่ารับถือเอาด้วยเหตุผลสักว่า ทำสืบตามๆ กันมา นานแล้ว. นี่จะเป็นพุทธบริษัทชนิดไหนกัน ที่ยังต้องพึ่งยักษ์ พึ่งสวดมนต์เรื่องยักษ์ เพื่อให้ยักษ์คุ้มครอง เผลอๆ ก็ไปตีกระแป๋งกระป๋อง ไปช่วยไล่ราหูให้แก่พระจันทร์เสียทีหนึ่ง; ฉะนั้นสูตรชนิดนี้ ควรจะปลดออก หรือ "ฉีก" ออกเสียจากพระไตรปิฎกไหม.

คนเป็นจำนวนล้านๆ ที่ประกาศตัวเป็นพุทธบริษัทตามแบบของตนๆ คงจะพากันด่าอาตมา ว่าจ้วงจาบพระไตรปิฎก โดยกล่าวว่า พระไตรปิฎกนี้ควรปลดออกหรือฉีกออกเสียบางส่วน ก่อนแต่ที่จะหยิบยื่นให้แก่มนุษย์นักศึกษาแห่งยุคปรมาณู. ขอให้คิดดูเถิด ถ้าคงไว้ทั้งหมด คือมีทั้งเพชร มีเครื่องขุดเพชร มีหีบ หรือกล่องใส่เพชร มีกระดาษหรือกระสอบห่อหีบข้างนอก แต่แล้วก็มาติดอยู่แค่กระสอบห่อชั้นนอก มันจะได้ประโยชน์อะไร. มันควรจะพังทลายของหุ้มชั้นนอกเพื่อเข้าถึงส่วนหัวใจชั้นใน มิใช่หรือ?

อาจารย์ชั้นหลัง คงจะมองเห็น ว่าคนมันยังเชื่อว่าพระจันทร์ พระอาทิตย์ พระราหู เป็นเทพบุตร ก็เลยพูดให้เป็นอย่างนั้นเสียเลย เพื่อให้สามารถเรียกคนทั้งหมดมารับนับถือพระพุทธเจ้า ดูๆ มันก็เป็นอุบายเหมือนกัน อุบายลัดสั้นที่ช่วยให้คนงมงายทั้งหลายทั้งปวง จะได้มานับถือพระพุทธเจ้า, เพราะการทำอย่างนั้นสามารถจะช่วยพระจันทร์พระอาทิตย์ โดยขับพระราหูไปเสียได้ แล้วคนพวกที่เหยียบพระจันทร์ จนฝุ่นในแผ่นดินพระจันทร์ติดเท้ามาแล้ว เขาจะคิดอย่างไร. นี่มันน่าหัวหรือไม่น่าหัว ก็ขอให้ลองคิดดู.

ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ ยังมีคนตีป๋องตีแป๋ง ยิงปืนเมื่อมีจันทรคราส สุริยคราส ไหม? เดี๋ยวนี้ยังมี แม้ในกรุงเทพฯ อย่าว่าแต่บ้านนอกเลย. ท่านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี สมัยเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า คืนหนึ่งสะดุ้งตื่นด้วยเสียงเอ็ดตะโรตีป๋องตีแป๋งยิงปืนดังลั่นไปหมด ลุกขึ้นมาถามว่าอะไรกัน ก็ได้ความว่าคนกรุงเทพฯ นั่นแหละ ทำอย่างนั้นเพื่อช่วยพระจันทร์ ตามที่เคยทำกันมา ท่านก็ถามตัวเองเปรยๆว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่รัฐบาลจะประกาศบังคับใช้ พระราชบัญญัติประถมศึกษาที่กำลังรออยู่ เมื่อในกรุงเทพฯ เอง ก็ยังทำอย่างนั้น ท่านก็รู้สึกว่า ถึงเวลาและมีเหตุผลแล้ว ที่จะประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษาบังคับ ในที่สุดก็มีการประกาศใช้กฏหมายนี้ โดยหวังว่าเมื่อคนรู้หนังสือฉลาดทั่วกันแล้ว จะได้ไม่ต้องสูรย์ช่วยจันทร์กันในลักษณะอย่างนั้น แล้วพูดแก้เก้อกับพวกฝรั่ง ว่าที่ทำเช่นนั้น เป็นการแสดงความยินดีให้เกียรติแก่โหร ว่าคำนวณเวลาได้แม่นยำ.

ถ้าพลเมืองเรียนหนังสือ รู้วิทยาศาสตร์ รู้ธรรมชาติ ว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ถูกเงาของโลกไปบัง ปรากฏเป็นสุริยคราส จันทรคราส แล้วก็จะได้หยุดช่วยสูรย์ช่วยจันทร์ ชนิดที่แสนจะหนวกหู อย่างที่ทำกันอยู่เป็นปรัมปรานี้เสียที เดี๋ยวนี้พระราชบัญญัติประถมศึกษาบังคับใช้มาตั้งหลายสิบปีแล้ว มันก็ยังมีการช่วยสูรย์ช่วยจันทร์กัน ด้วยการตีแป๋งตีป๋องตีฆ้องตีระฆัง ยิงปืนอะไรกันอยู่ เรียกว่าไม่เป็นพุทธบริษัทผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เอาเสียเลย. นี่ เราจะสงวนเอาไว้สำหรับทำกันอย่างนี้ต่อไป โดยอ้างสูตรในพระไตรปิฎกเป็นหลัก ซึ่งมันจะกลายเป็นปรัมปราต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด โดยจะมีการบอกกล่าวเล่าลือกันต่อไป ว่ามีที่อ้างในพระไตรปิฎก ถูกแล้ว มีในพระไตรปิฎก แต่มันเป็นพระไตรปิฎกของคนชั้นหลัง ที่ทำขึ้นๆ ในลักษณะหุ้มห่อของเดิม ถ้ายึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ก็จะได้ตีกระป๋องกันต่อไปตลอดชั่วโคตร เพราะอ้างได้ว่ามีอยู่ในพระไตรปิฎก เมื่อพระไตรปิฎกประเภทนี้ยังมีอยู่

ยอมให้ด่าทั้งเมือง

ทีนี้ อาตมาขอรับบาป ใครจะด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ด่าเถอะ อาตมาก็ยังบอกว่า พระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้ คือถูกใช้เป็นเครื่องอ้างสำหรับทำอะไร ที่มิใช่ของพุทธศาสนาอยู่บางอย่าง และมันเป็นเช่นนี้เอง

แต่ถ้าจะพูดกับนักศึกษาอันเป็นชาวโลกยุคปรมาณูนี้ก็จะพูดว่า สำหรับพวกท่านทั้งหลายนั้น พระไตรปิฎกนี้มีส่วนที่ควรปลดออกหรือฉีกออกได้สัก ๓๐ เปอร์เซนต์ คือสูตรเรื่องราหูจับอาทิตย์ ราหูจับจันทร์ เรื่องเมืองยักษ์และเรื่องอื่นๆ ที่คล้ายกัน, และเรื่องที่กล่าวไว้สำหรับภิกษุโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน, ตลอดถึงเรื่องบางอย่าง มีข้อความในลักษณะเป็นสัสสตทิฏฐิ เป็นตัวเป็นตน เป็นคนคนเดียวกันเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นลักษณะของทิฏฐินอกพุทธศาสนา. ปลดออกแล้วจะเหลืออยู่ ๗๐ เปอร์เซนต์.

ทีนี้ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์แห่งนักศึกษายุคปรมาณู เป็นฝรั่งมังค่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีตัวแท้ตัวยง เคยศึกษามาอย่างแตกฉาน มาลูบคลำพระไตรปิฏกแล้ว เขาจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้ด้วยตนเอง ครูบาอาจารย์ประเภทนี้ ไม่เชื่อด้วยตนเองอยู่แล้วว่า พระไตรปิฎกทั้งหมดนั้น เป็นของเดิมแท้ของพุทธศาสนา: เขารู้ว่าอะไรเป็นของใหม่ อะไรเป็นของเก่า แล้วสามารถเลือกเชื่อแต่ของเก่าๆ ที่เรียกว่า สุตตะเก่า หรือ OLD SUTTA เฉพาะที่เข้ากันได้กับการวินิจฉัยโดยกาลามสูตร ฉะนั้น ถ้าเอาพวกนักวิทยาศาสตร์ นักศึกษาโบราณคดี ครูบาอาจารย์ ชั้นพิเศษเป็นหลักแล้ว พระไตรปิฎกสำหรับจะหยิบยื่นให้แก่คนพวกนี้ ยังอาจจะปลดออกได้อีกสัก ๓๐ เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อภิธรรมปิฎก ซึ่งได้วินิจฉัยกันแล้วข้างต้น รวมทั้งคัมภีร์วิมานวัตถุ เปตวัตถุ และอื่นๆ ที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน

เมื่อปลดออกอีก ๓๐ เปอร์เซนต์ รวมเป็น ๖๐ เปอร์เซนต์แล้ว ยังเหลืออยู่อีก ๔๐ เปอร์เซนต์จากของทั้งหมด ก็ยังมีมากมายมหาศาล คือมากกว่าคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัล-กูรอ่าน มากกว่าคัมภีร์ของศาสนาอื่นอีกตั้งหลายเท่าตัว ทั้งที่ลดลงเสียตั้ง ๖๐ เปอร์เซนต์ ทีนี้ ที่เหลือ ๔๐ เปอร์เซนต์ ก็เอามาเลือกเฟ้นได้โดยง่าย พบเครื่องขุดเพชร แล้วก็ขุดเพชร พบเพชรที่เรียกว่าหัวใจของพระไตรปิฎก คือเพชรเม็ดเดียว ได้แก่หลักคำสอน และการปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ ที่ว่า "สิ่งทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น".

อาตมายอมให้ด่า จะด่าว่าเป็นอะไรก็ไได้ ซึ่งคงจะด่าว่า เป็นคนนอกศาสนาจ้วงจาบพระไตรปิฎกเป็นส่วนใหญ่. แต่ขอให้ดูให้ดีเถิด อาตมาไม่ได้จ้วงจาบพระไตรปิฎก เพียงแต่ต้องการให้ทุกคน เข้าถึงหัวใจของพระไตรปิฎก ไม่ใช่จ้วงจาบพระไตรปิฎก แต่บอกให้รู้ว่า พระไตรปิฎกทั้งหมดนั้น มีส่วนที่เป็นเปลือกก็มี เป็นหีบใส่ก็มี เป็นผ้ากระสอบหุ้มชั้นนอกสุดก็มี เป็นเครื่องขุดเพชรก็มี, ขออย่าได้มัวไปติด ในส่วนที่เป็นเปลือกหุ้มชั้นนอก เพื่อจะเอามาอ้างสำหรับทำอะไร ได้อย่างงมงายเลย. ขอให้ท่านทั้งหลาย ทะลุเปลือกหุ้มชั้นนอกเข้าไปตามลำดับ จนถึงเครื่องมือขุดเพชร คือปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้เพชร กล่าวคือความหลุดพ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด โดยประการทั้งปวง.

ทีนี้ ถ้ามีการปฏิบัติธรรม มันก็เป็นการขุดเพชร นี่เรียกว่า หมดปัญหาสำหรับพุทธบริษัท แต่ถ้ายังตีกระป๋องตีปี๊บ จุดประทัดไล่ราหูอยู่ สวดภาณยักษ์ ป้องกันยักษ์อยู่ ก็ตามใจ เพราะมีที่อ้างอยู่ในพระไตรปิฎก ด้วยเหมือนกัน.

อาตมาถือว่า ถ้าเอาหลักกาลามสูตร ๑๐ ประการ มาจับกับพระไตรปิฎกส่วนที่สนับสนุนการตีป๋องตีแป๋ง โดยเฉพาะแล้ว พระไตรปิฎกส่วนนี้ ก็จะกระเด็นหายไปหมดเลย ไม่มีเหลือ เพราะเป็นสิ่งที่ใส่เข้ามาทีหลังในการสังคายนาครั้งหลังๆ ในการสังคายนาครั้งแรก ยังไม่มีพระไตรปิฎก แต่ก็มาพูดกันในบัดนี้ ว่ามีพระไตรปิฎกมาแล้วตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งแรก. นั่นเป็นเพราะไปหลงตามคำกล่าวชั้นหลังๆ เมื่อเขามีพระไตรปิฎกเต็มรูปในแบบปัจจุบัน การเทศน์สังคายนาที่กล่าวให้เข้าใจว่า มีพระไตรปิฎกมาแล้วตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งแรกนั้น ไม่ตรงกับความจริง. ถ้าอาศัยหลักกาลามสูตรแล้วมันก็ต้องกล่าวอย่างอื่น คือกล่าวว่ามีแต่ธรรมวินัย ที่ท่องจำไว้ด้วยปาก ยังไม่ได้จารึกลงไปให้เป็นปิฎก: มีไว้ทั้งที่จัดเป็นเรื่องยาว เป็นเรื่องขนาดกลาง เป็นเรื่องสั้น และเรื่องเป็นหมวดๆ ตลอดไปถึงเรื่องเบ็ดเตล็ด, ยังไม่มีคำว่าพระไตรปิฎกใช้.

ถ้าย้อนไปพิจารณาถึงเหตุการณ์เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็มีที่ตรัสไว้เป็นหลักว่า ถ้าเกิดปัญหาทางข้อความในธรรมวินัยขึ้นมาแล้ว ขอให้เอาปัญหานั้น ไปหยั่งดูในสูตร (สุตฺเต โอสาเรตพฺพํ) ทดสอบดูในวินัย (วินเย สนฺทสฺเสตพฺพํ) ท่านใช้คำ ๒ คำนี้เท่านั้น คือหยั่งดูหรือทดสอบดู ในธรรมหรือวินัยดังบาลีข้างบน, ไม่มีคำว่า ไปทดสอบหยั่งดูในไตรปิฎก หรือแม้ในอภิธรรมก็ไม่มี. นี้เป็นเครื่องแสดงว่าในครั้งพุทธกาล หรือในยุคสังคายนาครั้งแรกนั้น มีแต่สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมและวินัย ที่จำไว้ด้วยปาก ครั้นเอามาเขียนเป็นตัวหนังสือเข้าในยุคหลัง ก็เรียกว่าปิฎก หรือตำราได้. ครั้งแรกยังไม่มีการเขียนลงเป็นตัวอักษร มีแต่การช่วยจำไว้ในใจ เสมือนหนึ่งเอาเนื้อเอาตัว เอาหัวใจของมนุษย์นั่นแหละ เป็นกระดาษบันทึกธรรมวินัยไว้.

ของขวัญที่เป็นเพชร

เท่าที่กล่าวมานี้ เรียกว่าอาตมาได้บอกสิ่งที่เป็นเพชรในพระไตรปิฎก ให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ในฐานะเป็นของขวัญ รวมทั้งเครื่องอุปกรณ์การขุดเพชรด้วย. แต่ส่วนที่เป็นเปลือกเป็นหีบ หรือกระดาษห่อหีบห่อลังนั้นม่ประสงค์จะให้. แต่ถ้าใครอยากจะเอา ก็เอาเถอะจะได้ช่วยตีปี๊บตีกระป๋องช่วยพระอาทิตย์พระจันทร์ หรือสวดภาณยักษ์กันโครมๆ ต่อไป เพราะมันก็มีที่อ้างในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกรุ่นหลังอันมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ขึ้นมาแล้ว ของเดิมแท้ๆ ที่เป็นชั้นหัวใจ มีประโยคเดียวสั้นๆ ว่า "ธรรมทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" นั่นแหละ เป็นเสมือนเพชรเม็ดเดียว.

 

 NEXT

 

คัดจากหนังสือ อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์ จาก ท่านพุทธทาสภิกขุ ในหัวข้อ ฟ้าสางทางการขุดเพชร พิมพ์โดย ธรรมทานมูลนิธิ และ สนพ. สุขภาพใจ พิมพ์ครั้งที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐