Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
ของต้องห้ามต้องกำกัด
การนำเงินตราเข้า-ออกประเทศ
การสำแดงกระเป๋าและสำภาระในการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
การชำระอากรปากระวาง
การยกเว้นภาษีอากรขาเข้าของติดตัวผู้โดยสาร
อัตราภาษีอากรสำหรับของนำเข้าบางชนิดเป็นอัตราภาษีอากรรวมโดยประมาณ
การฝากเก็บของไว้ในอารักขาศุลกากร
การใช้เอกสารค้ำประกันเอ.ที.เอ. คาร์เนท์
การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
การปฏิบัติพิธีการศุลกากรเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีชีวิต
การซื้อของจากบริเวณชายแดน
การนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
การลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

กรมศุลกากรมีหน้าที่ตามกฏหมายในการดูแลการนำเข้า-ส่งออกสินค้า ป้องกันการลักลอบสินค้า ดูแลของต้องห้ามต้องกำกัดตามกฏหมายต่างๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่อผู้ประสงค์จะเดินทางเข้า-ออก นักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไป กรมศุลกากรจึงมีความยินดีที่จะให้บริการข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางเข้า-ออกซึ่งควรทราบในเว็บไซต์นี้เป็นความรู้

ข้อแนะนำสำหรับผู้เดินทางเข้า-ออกนอกราชอาณาจักรมีดังนี้
ก่อนการเดินทางท่านจะต้องเตรียมเอกสารการเดินทางให้พร้อม พึงสนใจศึกษาระเบียบศุลกากร เรื่องของด่านกักกันโรค การตรวจคนเข้าเมือง ชนิดของเงินตราของประเทศที่จะเดินทางไปและอัตราแลกเปลี่ยนตลอดจนชนิดและปริมาณของที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับยกเว้นภาษีอากรเมื่อนำเข้ามา

หากมีของเกินกว่าปริมาณที่ได้รับยกเว้นภาษีอากร ให้สำแดงต่อศุลกากรเพื่อชำระภาษีอากรให้ถูกต้อง ในกรณีที่ท่านสงสัยในชนิดและปริมาณของที่ได้รับยกเว้นอากรที่แจ้งไว้ในแบบสำแดงการนำเข้า ซึ่งท่านจะได้รับก่อนเดินทางเข้าถึงประเทศ โปรดสอบถามเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำการ

อย่ารับฝากของใดๆจากบุคคลอื่น เนื่องจากท่านจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบถ้าเป็นของผิดกฏหมาย

พึงสังวรว่าโทษในการครอบครองเป็นเจ้าของยาเสพติดมีโทษหนักมาก ทั้งค่าปรับ การถูกจำคุก หรืออาจถึงขั้นประหารชีวิต

กฎหมายและระเบียบพิธีการศุลกากรที่ผู้เดินทางเข้า–ออกประเทศไทยทางท่าอากาศยานระหว่างประเทศควรทราบ มีดังต่อไปนี้

1. การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ถ้าผู้โดยสารต้องการนำของใช้ส่วนตัวติดตัวออกไประหว่างการเดินทาง เช่น นาฬิกา สร้อยคอ แหวน กล้องถ่ายวีดีโอ กล้องถ่ายรูป วิทยุเทป คอมพิวเตอร์สำหรับพกพา ฯลฯ และประสงค์จะนำกลับมาภายในประเทศโดยได้รับยกเว้นอากร ผู้โดยสารจะต้องนำของดังกล่าว พร้อมบัตรที่นั่งบนเครื่องบิน (Boarding Pass) หนังสือเดินทาง และตั๋วโดยสาร มาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรก่อนเดินทางเพื่อบันทึกรายละเอียดและรับสำเนาเอกสารไว้สำหรับแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำช่องตรวจสีแดงในวันเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขดังนี้

เป็นของเก่าใช้แล้วและมีจำนวน / ปริมาณพอสมควรแก่ฐานะ
มีเครื่องหมาย เลขหมายให้ตรวจสอบได้ง่าย

หากผู้โดยสารมีของที่มิใช่ของใช้ส่วนตัว แต่มีลักษณะเป็นสินค้า โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรล่วงหน้าเพื่อแนะนำไปปฏิบัติพิธีการศุลกากรก่อนการเดินทาง

2. ของต้องห้ามต้องกำกัด

2.1 ของต้องห้าม หมายถึง ของที่ห้ามไม่ให้นำเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร เช่น
ยาเสพติดให้โทษ
วัตถุระเบิด
สิ่งพิมพ์หรือวัตถุลามก
สัตว์ป่าสงวน

2.2 ของต้องกำกัด หมายถึงของบางชนิดที่มีกฎหมายควบคุมการนำเข้าและส่งออกผู้ที่ประสงค์จะนำเข้าหรือส่งออกไปต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรในขณะนำเข้าและส่งออกด้วยเช่น
พระพุทธรูป ศาสนาวัตถุ โบราณวัตถุ (กรมศิลปากร)
สัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์เลี้ยง เช่น นก ลิง แมว ฯลฯ(กรมป่าไม้หรือกรมปศุสัตว์)
สัตว์มีชีวิตและซากสัตว์ (กรมปศุสัตว์)
พันธุ์พืช เช่น ทุเรียน ลำไย ฯลฯ (กรมวิชาการเกษตร)
อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กระทรวงกลาโหม)
ยาและเคมีภัณฑ์บางชนิด (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)

3. การนำเงินตราเข้า-ออกประเทศ

ผู้โดยสารสามารถนำเงินตราไทย-เงินตราต่างประเทศหรือปัจจัยการชำระเงินตราต่างประเทศเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักรไทยได้ตามมูลค่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนี้

3.1 เงินไทย ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวเดินทางไปต่างประเทศได้ คนละไม่เกิน 50,000 บาท ยกเว้นนำออกไปยังประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย เช่น พม่า สปป ลาว เขมร มาเลเซียและเวียดนาม นำออกได้คนละไม่เกิน 500,000 บาท ในกรณี การนำเข้า ผู้โดยสารสามารถนำเงินตราไทยนำเข้าได้ไม่จำกัดมูลค่า

3.2 เงินตราต่างประเทศหรือปัจจัยการชำระเงินตราต่างประเทศ ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวไปต่างประเทศหรือนำเข้ามาได้ไม่จำกัดมูลค่าและผู้เดินทางผ่านหรือผู้ที่เข้ามาในราชอาณาจักรชั่วระยะเวลาที่กำหนดในตั๋วเดินทางผ่านหรือตั๋วเดินทางไปกลับก็สามารถนำเงินตราต่างประเทศ ติดตัวเข้ามาในประเทศไทยไม่จำกัดมูลค่าเช่นกัน

3.3 หากผู้โดยสารต้องการนำเงินตราไทยออกนอกราชอาณาจักรมูลค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย และ นำหลักฐานการได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธต.5) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศในขณะเดินทางออกนอกประเทศ

4. การสำแดงกระเป๋าและสัมภาระในการเดินทางเข้าราชอาณาจักร

(1) ผู้โดยสารต้องกรอกรายการในแบบสำแดงสิ่งของติดตัวผู้โดยสาร (แบบ 211) และยื่นแบบฟอร์มดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรขณะนำกระเป๋า สัมภาระผ่านเจ้าหน้าที่ศุลกากร

(2) ผู้ไม่มีของต้องเสียภาษีอากร ของต้องห้าม ของต้องกำกัดให้ยื่นแบบสำแดงสิ่งของติดตัวผู้โดยสารแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรในช่องเขียวซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่า"ไม่มีของสำแดง"

(3) ผู้ที่มีของต้องเสียภาษีอากร ของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือไม่แน่ใจว่าของที่นำเข้ามานั้น ต้องเสียภาษีอากรหรือไม่ ให้ยื่นแบบสำแดงสิ่งของติดตัวผู้โดยสารแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรในช่องแดง ซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่า "มีของต้องสำแดง"

5. การชำระอากรปากระวาง

ของทุกชนิดที่นำเข้ามาในประเทศไทยต้องชำระค่าภาษีอากรและปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับการชำระอากรปากระวางสำหรับของติดตัวผู้โดยสารมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้

เป็นของที่นำเข้ามาใช้เอง และมีจำนวนเห็นได้ชัดว่ามิใช่เพื่อการค้า
ของมูลค่าไม่เกิน 80,000 บาท
ผู้โดยสารสามารถชำระค่าภาษีอากรได้เป็นเงินสด ณ วันนำเข้า

กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะส่งของทั้งหมดไปปฏิบัติพิธีการศุลกากรที่งานของติดตัวผู้โดยสารฝ่ายตรวจสินค้า
ขาเข้าที่ 1 ส่วนการนำเข้า โดยผู้โดยสารจะได้รับใบส่งของ (แบบ 466) ไว้เป็นหลักฐาน

6. การยกเว้นภาษีอากรขาเข้าของติดตัวผู้โดยสาร ของดังต่อไปนี้ที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้ามาจะได้รับยกเว้นอากรขาเข้า

บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หรือซิการ์และยาเส้น น้ำหนักไม่เกิน 250 กรัม
สุรา 1 ลิตร
ของใช้ส่วนตัวที่เจ้าของนำเข้ามาพร้อมกับตนสำหรับใช้เองหรือใช้ในวิชาชีพและจำนวนพอสมควรแก่ฐานะและมูลค่าไม่เกิน
10,000 บาท และไม่มีลักษณะเป็นการค้า เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง เครื่องประดับ รองเท้า นาฬิกา แว่นตา น้ำหอม
เป็นต้น ทั้งนี้ผู้โดยสารต้องมี เอกสารใบเสร็จรับเงินมาแสดงเป็นหลักฐานประกอบด้วย หากไม่มีเอกสารใบเสร็จรับเงิน เจ้าหน้าที่
ศุลกากรจะใช้ หลักฐานอื่นประกอบ
ของใช้ในบ้านเรือนเก่าใช้แล้วที่เจ้าของนำเข้ามาพร้อมกับตนเนื่องจากการย้ายภูมิลำเนาและมีจำนวนพอสมควรแก่ฐานะ

7. อัตราภาษีอากรสำหรับของนำเข้าบางชนิดเป็นอัตราภาษีอากรรวมโดยประมาณ

ชนิดของ อัตราภาษีอากร
เครื่องรับวิทยุ วิทยุ-เทป 30% ของราคา
เครื่องรับโทรทัศน์ 30% ของราคา
เครื่องเล่นวีดีโอ 40% ของราคา
กล้องถ่ายวีดีโอ 15 - 50% ของราคา
กล้องถ่ายรูป 10 - 15% ของราคา
ของเด็กเล่น 20 - 40% ของราคา
เสื้อผ้าสำเร็จรูป 30 - 75% ของราคา
เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เข็มขัดหนัง 50 - 120% ของราคา
เครื่องสำอางสำเร็จรูป 30 - 80% ของราคา
หมายเหตุ : อัตรานี้ยังไม่รวมภาษีอากรประเภทอื่นๆ อาทิ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม

8. การฝากเก็บของไว้ในอารักขาศุลกากร ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและมีของที่ต้องชำระภาษีอากรของต้องกำกัดซึ่งไม่ประสงค์จะนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยสามารถนำของดังกล่าวมาฝากเก็บไว้ในอารักขาศุลกากรได้ ณสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานที่เดินทางเข้ามาเป็นเวลาไม่เกิน2เดือนโดยต้องแสดงตั๋วเดินทาง ไปประเทศที่สาม ณ เวลาที่นำของมาฝากและชำระค่าธรรมเนียมในอัตราที่กำหนดด้วยในวันเดินทางออกนอกราชอาณาจักรผู้โดยสารสามารถขอรับของ ดังกล่าวคืนโดยแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินขณะยื่นตั๋วเดินทาง
อัตราค่าธรรมเนียมในการรับฝาก (หีบห่อหนึ่งถ้ามีน้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม)
น้ำหนักหีบห่อ ค่าธรรมเนียมต่อวัน (บาท)
1. ไม่เกิน 20 กก. 40
2. เกิน 20 กก. แต่ไม่เกิน 40 กก. 80
3. เกิน 40 กก. 150
หมายเหตุ : เศษของวันให้นับเป็น 1 วัน

9. การใช้เอกสารค้ำประกัน เอ.ที.เอ. คาร์เนท์ ผู้โดยสารนำของเข้าประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นตัวอย่างสินค้า เพื่อแสดงนิทรรศการ เพื่อใช้ในวิชาชีพหรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์และจะส่งกลับออกไปโดยใช้เอกสารค้ำประกัน เอ ที เอ คาร์เนท์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำช่องตรวจสีแดงและผ่านพิธีการศุลกากร ณ ที่ทำการศุลกากรขาเข้า ส่วนตรวจของผู้โดยสาร สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพหรือสถานที่ตามที่สำนักงานศุลกากรภูมิภาคกำหนดในวันเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ผู้โดยสารจะต้องยื่นเอกสารค้ำประกัน เอ.ที.เอ คาร์เนท์และนำของดังกล่าวมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรขาออกเพื่อตรวจสอบ มิฉะนั้นจะถือว่าของนั้นมิได้มีการส่งกลับออกไปและจะถูกเรียกเก็บภาษีอากรในภายหลังสำหรับผู้นำของออกนอกราชอาณาจักรชั่วคราวและจะนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรในภายหลังโดยใช้เอกสารค้ำประกันเอ ที เอ คาร์เนท์ จะต้องปฏิบัติพิธีการศุลกากรในทำนองเดียวกันกับการนำเข้า

10. การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
นักท่องเที่ยวที่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มต้อง
1. ไม่เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยและไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทย ถึง 180 วันในปีภาษี
2. ไม่เป็นนักบินหรือลูกเรือของสายการบินที่เดินทางออกจากประเทศไทย
3. เดินทางออกจากประเทศไทยโดยเครื่องบิน ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ
ส่วนตรวจของผู้โดยสาร สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ จะจัดเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำที่ทำการศุลกากรขาออก ทำหน้าที่ตรวจรับรองสินค้าที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ณ จุดตรวจในห้องโถงผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก ก่อนที่ผู่โดยสารจะนำของเข้า CHECK IN ที่เคาน์เตอร์ของสายการบิน การตรวจสอบให้ปฏิบัติดังนี้

เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบหนังสือเดินทางและรายการสินค้าที่ระบุในใบคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับนักท่องเที่ยว (ภ.พ.10) ของผู้เดินทางออกราชอาณาจักรพร้อมใบกำกับภาษีที่นำมแสดง

(ก) กรณีตรวจพบรายการสินค้าครบถ้วนถูกต้อง จะรับรองสินค้าครบจำนวนในช่องสำหรับศุลกากรในใบคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมทั้งลงลายมือชื่อและประทับตราศุลกากรไว้เป็นหลักฐาน
(ข) กรณีตรวจพบรายการสินค้าไม่ครบตามจำนวน จะขีดฆ่ารายการสินค้าที่ไม่พบในใบคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มออกพร้อมลงลายมือชื่อกำกับและให้ระบุหมายเลขรายการที่ไม่พบไว้ในช่องสำหรับศุลกากร รวมทั้งลงลายมือชื่อและประทับตราศุลกากรไว้เป็นหลักฐาน
(ค) ติดสติ๊กเกอร์ที่หีบห่อสัมภาระหรือกระเป๋าเดินทางที่บรรจุสินค้านั้น แล้วส่งมอบให้ผู้เดินทางพร้อมใบคำร้อง (ก.พ.10) เพื่อเป็นหลักฐานในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกับเจ้าหน้าที่สรรพากรที่ประจำ ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพระหว่างประเทศต่อไป
สำหรับด่านศุลกากรท่าอากาศยานระหว่างประเทศในส่วนภูมิภาคให้ถือปฏิบัติตามระเบียบนี้โดยอนุโลม

กรณีสินค้าชิ้นเล็กราคาแพงประเภทอัญมณี ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนหรือของรูปพรรณ ทองรูปพรรณ นาฬิกา แว่นตา หรือปากกา หลังผ่านการตรวจประทับตราจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรแล้วให้นำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรเพื่อตรวจสินค้าอีกครั้งหนึ่ง ณ สำนักงานคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว

11. การปฏิบัติพิธีการศุลกากรเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีชีวิต

ผู้โดยสารที่นำสัตว์เลี้ยงติดตัวเข้ามาพร้อมกับตนโดยไม่มีลักษณะทางการค้า หรือนำสุนัขและแมวเข้ามาในราชอาณาจักร ณ สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพและภูมิภาค ทั้งแบบที่ไม่นำติดตัวเข้ามา (UNACCOMPANIED BAGGAGE) แต่นำเข้ามาในระวางบรรทุก (CARGO FREIGHT) และแบบนำติดตัวเข้ามา (ACCOMPANIED BAGGAGE) มีข้อแนะนำในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร ดังนี้

11.1 เอกสารที่ควรจัดเตรียมในการนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิต

(1) ใบขนสินค้าขาเข้าพิเศษฯ (กศก.102)
(2) หนังสือเดินทาง (PASSPORT)
(3) ต้นฉบับใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (AIR WAYBILL)ในกรณีที่ยังไม่ได้รับต้นฉบับ AWB ให้ใช้เอกสารอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
สำเนา AIR WAYBILL ฉบับผู้โดยสาร หรือ
สำเนา AIR WAYBILL ฉบับที่บริษัทตัวแทนสายการบินรับรอง หรือ
สำเนา AIR WAYBILL ฉบับ SHIPPER หรือ
HEALTH CERTIFICATE หรือ
PEDIGREE หรือ
ใบเสร็จค่าระวางบรรทุก หรือ
หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงความเป็นเจ้าของ
(4) ใบแจ้งอนุมัตินำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าและผ่านราชอาณาจักร (ร.6) และ/หรือใบอนุญาตนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร(ร.7) ในกรณีที่ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศด่านศุลกากรทางอากาศกองควบคุมโรคระบาด กรมปศุสัตว์ ได้ออกเฉพาะใบแจ้งอนุมัตนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าและผ่านราชอาณาจักร (ร.6) เท่านั้น กรมศุลกากรจะตรวจปล่อยและส่งมอบสัตว์มีชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศ
(5) คำร้องขอยกเว้นอากร (กรณีนำเข้าชั่วคราว)
(6) สัญญาประกันทัณฑ์บน (กรณีนำเข้าชั่วคราว)

11.2 ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการศุลกากรการนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิต

(1) ผู้โดยสารหรือตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องยื่นต้นฉบับใบขนสินค้าขาเข้าพิเศษฯ (กศก.102) และเอกสารประกอบตามข้อ 11.1 พร้อมสำเนาอย่างละ 1 ชุดต่อฝ่ายตรวจสินค้าขาเข้าของสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานที่นำเข้า

(2) กรณีการนำเข้าชั่วคราว กรมศุลกากรทำการตรวจสอบเอกสารเสนอขอยกเว้นอากร ตรวจสอบการคำนวณราคาของ และค่าภาษีอากรเพื่อวางประกันและทำสัญญาประกันทัณฑ์บนไว้หากถูกต้องจะออกเลขที่ยกเว้นอากรและสั่งการตรวจ หลังจากนั้นจะมอบเอกสารทั้งหมดคืนให้ผู้นำเข้า

(3) กรณีการนำเข้าถาวร กรมศุลกากรทำการตรวจสอบเอกสาร การคำนวณราคาของ หากถูกต้องจะออกเลขที่ใบขนสินค้า และมอบเอกสารทั้งหมดคืนให้ผู้นำเข้าเพื่อนำไปชำระภาษีอากรที่ฝ่ายบัญชีและอากร

(4) ผู้นำของเข้านำใบขนสินค้าฯ พร้อมเอกสารและหลักฐานการชำระอากร หลักฐานการชำระประกันค่าภาษี (แล้วแต่กรณี) ไปแสดงที่ส่วนตรวจสินค้าเพื่อขอรับของออกจากอารักขาศุลกากร

(5) กรณีการนำเข้าชั่วคราว เมื่อกรมศุลกากรทำการการตรวจปล่อยเรียบร้อยแล้วจะมอบสำเนาใบขนสินค้าขาเข้าพิเศษและสำเนาสัญญาประกันทัณฑ์บนแก่ผู้โดยสารหรือตัวแทนเพื่อไว้ใช้เป็นหลักฐานประกอบการส่งออก

11.3 ข้อควรทราบในการนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิต

(1) การนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิตชั่วคราว ผู้โดยสารหรือตัวแทนต้องทำสัญญาประกันและทัณฑ์บนกับกรมศุลกากรว่าจะส่งออกไปภายใน 6 เดือนนับแต่วันนำของเข้าตามแบบที่กำหนดโดยให้ระบุด่านศุลกากรที่จะส่งกลับออกไปและใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคาร หรือบุคคลที่เชื่อถือได้

(2) การไม่นำสัตว์ที่นำเข้ามาเป็นการชั่วคราวกลับออกไป ผู้นำของเข้าต้องชดใช้เงินตามสัญญาประกันที่ให้ไว้ และอาจถูกดำเนินคดีฐานหลีกเลี่ยงการชำระค่าภาษีอากร และ/หรือ หลีกเลี่ยงข้อกำกัดของกฎหมายอันมีโทษปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับตามกฏหมายศุลกากรอีกด้วย

12. การซื้อของจากบริเวณชายแดน

ภาษีอากรเป็นรายได้ที่สำคัญที่สุดของประเทศผู้ชำระภาษีอากรตามหน้าที่โดยถูกต้องจึงมีส่วนร่วมในการทะนุบำรุงและนำความเจริญมาสู่บ้านเมือง ส่วนผู้ที่ลักลอบหรือหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอากรมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนนับได้ว่าเป็นผู้บั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติเป็นการฉ้อโกงเอา เปรียบคนอื่นทั้งประเทศผู้ที่ซื้อสินค้าหนีภาษีทั้งที่พึงทราบได้จากราคาที่ต่ำผิดปกติมีส่วนสนับสนุนการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงโดยตรงสินค้าหนีภาษีที่ ซื้อไปจึงอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกริบตามกฎหมายและอาจถูกดำเนินคดีด้วย

การป้องกันและปราบปรามการลักลอบหนีภาษีเนื่องจากไม่อยู่ในวิสัยที่จะสกัดกั้นมิให้มีการลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามาได้เต็มที่จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่นด้วยเช่น การสืบจับแหล่งเก็บหรือค้าของเถื่อน และตรวจตรา ณ บางจุดในประเทศตามความเหมาะสมซึ่งบางครั้งอาจก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เกินความจำเป็นไม่สะดวกหรือไม่เป็นธรรมขึ้นได้

กรมศุลกากร ใคร่ขอความร่วมมือจากท่านได้โปรดเข้าใจในการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่และทำตามข้อแนะนำ ดังต่อไปนี้ในการซื้อของจากบริเวณชายแดน

(1) สินค้าที่ขายในราคาต่ำกว่าปกติในท้องตลาดทั่วไปมาก ควรถือไว้ก่อนว่าเป็นสินค้าที่ลักลอบเข้ามาจำหน่ายจึงไม่ควรซื้อสินค้าดังกล่าว เพื่อช่วยกันขจัดการลักลอบ และจะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง

(2) ในกรณีที่จำเป็นต้องซื้อสินค้าจากบริเวณใกล้ชายแดน และนำติดตัวในการเดินทางไปมาในประเทศ หากซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก หรือเป็นสินค้าที่มีราคาสูงเช่นวิทยุ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆให้เรียกใบเสร็จรับเงินจากผู้ขายเป็นหลักฐาน โดย ตรวจสอบว่าใบเสร็จรับเงินนั้นๆได้ออกโดยถูกต้องและเป็นไปตามความจริง (ใบเสร็จของร้านขายจริง)

(3) ในกรณีที่เจ้าหน้าที่อาจสงสัยหรือสอบถามเกี่ยวกับของที่ซื้อมาให้แสดงใบเสร็จรับเงินดังกล่าว

(4) หากมีปัญหาใดๆ เกี่ยวกับการปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ให้ติดต่อและแจ้งให้ด่านศุลกากร สำนักงานศุลกากรเขตที่อยู่ใกล้เคียง หรือ กรมศุลกากรทราบ


13. การนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

13.1 รถยนต์ขนส่งสินค้าหรือรถโดยสารประจำทาง
หากเป็นรถที่จดทะเบียนและได้รับอนุญาตแล้ว ให้เดินทางเข้าออกได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำสัญญาประกันทัณฑ์บนหรือยื่นใบขนสินค้าสำหรับตัวรถ แต่ถ้าเป็นรถที่ยังมิได้ชำระอากรขาเข้าจะต้องยื่นใบขนสินค้าและสัญญาประกันทัณฑ์บน วางเงินสดหรือหลักทรัพย์ไว้ขณะนำเข้าครั้งแรกให้คุ้มค่าภาษีเสียก่อน ในครั้งต่อไปให้เข้า-ออกได้ตราบเท่าที่ยังอยู่ในอายุสัญญา

13.2 รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ผู้เดินทางเข้าออกประจำนำเข้ามาชั่วคราว
จะต้องยื่นบัตรอนุญาตที่เรียกว่า "บัตรอนุญาตให้นำรถยนต์/รถจักรยานยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว" (Customs Pass) ต่อด่านศุลกากรที่ประสงค์จะนำเข้า บัตรนี้จัดทำขึ้นเป็น 3 ฉบับ เก็บไว้ที่สำนักงานศุลกากรภาค 1 ฉบับ ที่ด่านศุลกากรต้นทางนำเข้า 1 ฉบับ และผู้นำเข้าถือไว้ 1 ฉบับ เพื่อติดไว้กับรถให้ตรวจสอบบัตรนี้มีอายุการใช้งาน 1 ปีนับจากวันได้รับอนุญาต
ทุกครั้งที่มีการนำรถเข้าออก ผู้นำเข้าจะต้องยื่นใบขนสินค้าพิเศษพร้อมสำเนา 1 ฉบับ ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกับบัตรอนุญาตที่ติดประจำรถเพื่ออนุญาตให้เข้าออกได้

13.3 การนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เข้ามาชั่วคราว
ผู้นำเข้าจะต้องยื่นใบขนสินค้าพิเศษพร้อมสำเนา 5 ฉบับ แบบธุรกิจต่างประเทศ (ธ.ต.2) 1 ฉบับ พร้อมวางประกันด้วยเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ในวงเงินประกัน โดยถือราคาบวกภาษีอากรทุกประเภทรวมกัน อย่างไรก็ตามการนำเข้ารถจักรยานยนต์ทางสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ ให้ค้ำประกันตัวเองได้ สำหรับด่านศุลกากรภูมิภาคอาจให้บุคคลค้ำประกัน หรือกรณีไม่สามารถจะวางประกันได้จริงๆ ก็อาจอนุญาตให้ค้ำประกันตนเองได้เช่นกัน
การทำสัญญาประกันกำหนดระยะเวลาให้นำเข้ามาได้ไม่เกิน 2 เดือน หากขอระยะเวลาเกิน 2 เดือนแต่ไม่เกิน 6 เดือน จะต้องแสดงเหตุผลพิเศษให้เป็นที่พอใจจึงจะอนุญาตได้


14. การลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ผู้โดยสารที่นำของต้องชำระค่าภาษีอากร ของต้องห้าม ของต้องกำกัดเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่สำแดงหรือสำแดงไม่ถูกต้อง จะได้รับโทษตามกฎหมายศุลกากร ดังนี้

14.1 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบและจับกุมผู้ต้องหาขณะอยู่ในช่องเขียว (Green Channel) จะถูกปรับ 1 เท่าของราคาของบวกค่าภาษีอากรกับอีก 1 เท่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย (ถ้ามี) และผู้ต้องหาต้องยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน

14.2 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบและจับกุมผู้ต้องหาภายหลังผ่านพ้นช่องเขียว (Green Channel) และขณะที่ นำของผ่านออกไปนั้นมิได้เข้ามาในลักษณะซุกซ่อนเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบผู้ต้องหาจะถูกปรับ 2 เท่าของของราคาของบวกค่าภาษีอากรกับอีก 1เท่าของภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิตภาษีเพื่อมหาดไทย(ถ้ามี)และผู้ต้องหาต้องยกของกลางให้เป็นของแผ่นดินในกรณีที่นำเข้ามาในลักษณะซุกซ่อนให้ปรับ 4 เท่าของของราคาของบวกค่าภาษีอากรและผู้ต้องหาต้องยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน

14.3 ในกรณีของที่ลักลอบนำเข้ามาเป็นของที่ไม่ต้องชำระอากรศุลกากร ไม่ว่าจะตรวจพบในช่องเขียว (Green Channel) หรือผ่านพ้นช่องเขียวไปแล้วก็ตาม ถือเป็นของซึ่งมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ผู้ต้องหาต้องยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน

back<<