Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!


แนะแนววิธีศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์
โดย  โธมัส  มาโฟริ

บทที่ 1

เหตุผลที่ต้องศึกษาพระคัมภีร์

พระคัมภีร์กล่าวว่า

กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าแสวงปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า” (สุภาษิต 2 :2-5)

 บางครั้งชีวิตคริสเตียนของท่านก็อาจจะเหมือนกับแผ่นดินที่แห้งแล้ง  ฝนไม่ตก  น้ำในคลองก็แห้ง ท่านอาจจำเป็น
ต้องขุดบ่อลึกเพื่อให้มีน้ำเพียงพอสำหรีบชีวิตท่าน  ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมากในการทำงานขุดบ่อ
เพื่อจะได้น้ำ

การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตคริสเตียนของท่านก็เช่นเดียวกันกัน ท่านจะต้องทุ่มเทอย่างหนัก ขุดลึกเข้าไปให้ถึงแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้า เหมือนดั่งการเสาะแสวงหาน้ำสำหรับชีวิต และหากคุณเรียน
ร ู้พระคำอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะได้พบน้ำแห่งชีวิตแน่นอน

พระเยซูคริสต์ทรงใช้น้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย เป็นการอธิบายถึงความจำเป็นที่เราต้องการพระองค์ว่า

แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:14)

การจะได้รับประสบการณ์ของน้ำแห่งชีวิต ท่านจะต้องหมั่นศึกษาพระวจนะทุกวัน บทเรียนต่อไปจะเรียนว่า ทำไมต้องศึกษาพระคัมภีร์

เนื้อหาของบทเรียน :

  • น้ำพระทัยของพระเจ้า
  • ความประสงค์ของท่าน
  • ท่าทีของท่าน

บทเรียนนี้จะช่วยท่าน :

  • อธิบายว่าการศึกษาพระคัมภีร์เป็นความจำเป็น
  • อธิบายว่าการศึกษาพระคัมภีร์จะสนองสิ่งที่เราต้องการได้อย่างไร
  • แนะทางการศึกษาพระคำในท่าทีที่ถูกต้อง

น้ำพระทัยของพระเจ้า

วัตถุประสงค์ ที่ 1: ให้ตระหนักว่าทำไมการศึกษาพระคัมภีร์จึงมีความจำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียน

หากท่านรักใครสักคน ท่านก็คงอยากอยู่กับเขา อยากจะรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา เข้าใจความนึกคิด และแบ่งปันความรู้สึก ต้องการเอาใจใส่เขา เมื่อความรักก่อตัวขึ้นเพราะสนิทสนมกันมาก ทุกอย่างก็ยิ่งสมบูรณ์ มีความพึงพอใจ และมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมา

น้ำพระทัยของพระเจ้าคือ ให้เรารักพระองค์เหนือสิ่งใด เมื่อเรารักพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็ต้องการใช้เวลากับพระองค์เพื่อรู้จักพระองค์ โดยการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ นั่นแหละ จึงจะทำให้ความรักของเราเพิ่มขึ้น

ความสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้า ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังพระบัญญัติ และมีทางเดียวที่ท่านจะเชื่อฟังพระองค์ คือ ท่านต้องรู้จักพระบัญญัติของพระองค์ พระคัมภีร์บอกท่านให้มีความตั้งใจ เพื่อจะเข้าใจพระคำของพระเจ้า และสามารถสอนคนอื่นได้ (2 ทิโมธี 2:15) พระเยซูสอนเรื่องความสำคัญของพระวจนะว่า “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) หากท่านใช้ความคิดในการค้นหาความหมายของพระคำพระเจ้า ก็เท่ากับว่าคุณกำลังทำตามพระบัญญัติของพระองค์ในเรื่อง “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” หรืออีกนัยหนึ่งว่า การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือการศึกษาพระคำของพระเจ้านั่นเอง ดังนั้น ท่านจำเป็นต้องเรียนรู้พระบัญญัติของพระองค์และรักพระองค์มากขึ้นกว่าเดิม

หนังสือสดุดี 119 ซึ่งเขียนโดยกษัตริย์ดาวิด ได้พูดถึงการเรียนรู้พระบัญญัติของพระเจ้า คำว่าพระบัญญัติ ในหนังสือสดุดีหมายถึงการแนะนำและคำสั่งตามที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ ดาวิดได้ย้ำแล้วย้ำอีกเกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้และการเชื่อฟัง ซึ่งต้องไปด้วยกัน “ข้าพระองค์จะไม่รับความอาย โดยจดจ่ออยู่ที่พระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์” (ข้อ 6) การเชื่อฟังย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจและสติปัญญาในการเรียนรู้ความหมายของพระคำพระเจ้า และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถสอนคนอื่นได้ด้วย

1 เปโตร 2:2 “เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด” เมื่อศึกษาพระคำของพระเจ้าแล้วพระคำจะเข้าถึงเข้าในของท่าน โคโลสี 3:16 “จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์” เสมือนหนึ่งอาหารที่ท่านกินเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง พระคำของพระเจ้าเมื่อเข้าไปในวิญญาณจิตของท่าน จะทำให้วิญญาณเข็มแข็งขึ้น

การศึกษาพระคำของพระเจ้าจะเป็นไปอย่างง่ายดาย ถ้าท่านได้ทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพอพระทัยให้ท่านศึกษาพระคำของพระองค์ ดังนั้นพระองค์ทรงมอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นผู้สอน ดังที่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสกับสาวกว่า เมื่อพระวิญญาณเสด็จมา พระองค์จะทรงสำแดงความจริง"เรื่องพระเจ้า พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น" (ยอห์น 16:13)

สิ่งที่คุณต้องการ

วัตถุประสงค ์ ที่ 2: เพื่อให้ทราบว่า สิ่งที่เราต้องการนั้นจะได้รับการตอบสนองอย่างไร เมื่อศึกษาพระวจนะของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสร้างเราด้วยความรักและความห่วงใย พระองค์ทรงทราบถึงความต้องการมากยิ่งกว่าเรารู้ตัวเราเอง

ผู้ผลิตงานฝีมือย่อมทราบถึงสิ่งที่เขาทำได้ดีกว่าคนอื่น ถ้าสิ่งที่เขาผลิตขึ้นมาใช้การไม่ได้ และคุณส่งกลับไปยังผู้ผลิตเพื่อซ่อมแซมหรือแก้ไข เขาต้องทำให้ของนั้นใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง

ชีวิตของคนเรานั้นมักต้องชอกช้ำ พบกับความโศกเศร้าและขมขื่น นิสัยไม่ดีมิได้ติดตามพระเจ้าจริง ๆ เราจึงต้องการซ่อมแซมแก้ไข สั่งสอน ปรับปรุง และตกแต่งรูปร่างเสียใหม่ พระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่พระเจ้าจะใช้ในงานเหล่านี้ 2 ทิโมธี 3:16-17

พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำ การดีทุกอย่าง”

พระเจ้าจะทรงแก้ไขปรับปรุงชีวิต เมื่อท่านได้ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงชำระความผิดบาปและให้โอกาสได้เริ่มต้นใหม่ พระวจนะของพระองค์ทรงชี้แนะว่าจะดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ได้อย่างไร พร้อมทั้งอธิบายน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของท่าน

พระวจนะของพระเจ้าจะสอนท่าน ให้ท่านทราบความจริงเกี่ยวกับความรอด มรดกที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ทางพระคริสต์ เรื่องความเข้มแข็งและฤทธานุภาพในพระองค์ และเรื่องการเติมให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีและมีสันติสุขในพระเจ้า พระคำของพระเจ้าจะนำท่านในการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ ดังพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในหนังสือฮีบรู 4:12 กล่าวว่า

เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบ สองคมใด ๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย”

พระวจนะของพระเจ้าทรงสำแดงให้ท่านทราบเมื่อท่านเริ่มคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ แต่พระวจนะจะช่วยกำหนดความคิดให้เป็นไปตามน้ำพระทัย และจะนำพาชีวิตฝ่ายวิญญาณจิต ให้จำเริญขึ้นแลสงเสริมให้เกิดความมั่นคงของฝ่ายร่างกาย

ยิ่งได้มีโอกาสอ่าน ศึกษา และฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณมากเท่าไหร่ เราก็จะมีโอกาสรู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราฉลาดและสามารถตัดสินเลือกสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้อง พระคัมภีร์บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” (สดุดี 119 : 130) ความสว่างจากพระเจ้าเป็นสิ่งชี้แนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้เข้าใจเรื่องการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ และชีวิตนิรันดร์

ความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อท่านศึกษาพระวจนะนั้นเป็นการ ปลดนิสัยของมนุษย์เก่า กับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังทรงสร้าง ขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างให้รู้จักพระเจ้า” (โคโลสี 3:9-10) และชีวิตตามพระลักษณะของพระเยซูคริสต์นี่เอง ที่จะส่องผ่านตัวท่านไปยังคนในโลกที่ยังหลงหาย

เมื่อท่านได้รู้จักกับพระคำของพระเจ้าจริง ๆ วิญญาณจิตของท่านจะสัมพันธ์กับพระวิญญาณ ซึ่งเป็นแหล่งชีวิต ดังนั้นแหละ ความต้องการของท่านจึงได้รับคำตอบ

ท่าทีของท่าน

วัตถุประสงค์  ที่ 3 : เป็นการอธิบายเรื่องท่าทีที่จะมีผลต่อการศึกษาพระคัมภีร์

พระคัมภีร์นั้นแตกต่างจากหนังสือชนิดอื่น ๆ เพราะเป็นเหมือนจดหมายของผู้ที่เรารักและสนิทสนม  คริสเตียนแท้จึงสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ดีที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะพระเจ้าได้รับเราเป็นบุตร และเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ ก็จะได้รับประทานพระวิญญาณ เราจึงสามารถเข้าใจพระวจนะได้ดี เพราะเราใกล้ชิดกับพระเจ้าและเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ ( ดู1 โครินธ์ 2 : 6-16 )

การบังเกิดใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้านั้น เป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเราได้รับฟังพระคำ เราจะเริ่มหิวกระหายความจริงมากขึ้น ก็คงเหมือนเด็ก ๆ ที่เข้ามาหาคุณพ่อคุณแม่ทุกวัน เพื่อที่จะรับการเลี้ยงดู ดังนั้น เราต้องเข้ามาหาพระเจ้า เพื่อที่จะได้มีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณจิตมากขึ้นด้วย (1 เปโตร 2:2)

ในขณะเดียวกัน เราจำต้องมีท่าทีเชื่อฟังพระวจนะ ผู้ที่ได้รับความรักและมรดกจากคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดมักเป็น ผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ท่าน์เปาโลได้เอาใจใส่ต่อคริสตจักรในเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นคริสตจักรที่ไม่เชื่อฟัง จึงเขียนจดหมาย 1 โครินธ์ เพื่อตักเตือน ว่าเพราะการทุ่มเถียงกันและท่าทีที่ไม่ดี ที่พวกเขทำนั้น เป็นเหตุให้คริสตจักรไม่เติบโตขึ้นฝ่ายวิญญาณจิต

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่านเป็นทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ และถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะว่าเมื่อยังอิจฉากันและขัดเคืองกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ และไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์สามัญดอกหรือ” (1 โครินธ์ 3:1-3)

ท่าทีนั้นรวมไปถึง ระเบียบวินัย เราไม่สามารถรับการดลใจจากพระเจ้าอย่างแท้จริง ยกเว้นเราจะเพียรพยายามเรียนรู้กับพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้ว จะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” (มัทธิว 7:7) หมายความว่า เราต้องใช้เวลาเรียนด้วยความเอาจริงจัง

เพื่อให้การเรียนรู้เป็นการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต เราจำต้องเป็นคนรับคำสอนต่าง ๆ ได้ เรา จำต้องยอมรับคำแนะนำจากพระบิดาผู้สถิตบนสวรรค์ เนื่องจากเรามักต้องการดำเนินชีวิตตามวิถีทางของตัวเอง เหมือนดังกษัตริย์ดาวิดและอิสยาห์ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ที่ยอมรับการสอนของพระเจ้า

ข้าพระองค์มิได้เลี่ยงจากกฎหมายของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงสอนข้าพระองค์ พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริง ๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากของข้าพระองค์” (สดุดี 119:102-103)

“พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชูผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ ทุก ๆ วันเช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน” (อิสยาห์ 50:4)

เมื่อยอมรับการสอน และใช้พระคำของพระเจ้าอย่างถ่อมใจ เราก็มักจะรู้สึกว่าเข้มแข็งหรือมีความชอบธรรมมาก  พึงจำไว้ว่าเราต้องไม่อวดตัว เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราตามแบบที่เราควรจะเป็น

โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญา และความชอบธรรมของคุณ และเป็นผู้ทรงชำระคุณให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่คุณไว้ให้พ้นบาป เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 โครินธ์ 1:30-31)

เราไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในพระวจนะของพระเจ้าได้ ถ้าปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้จะทรงสำแดง ความจริงของพระเจ้า การเรียนพระวจนะยังต้องดำเนินไปเรื่อยแม้บนสวรรค์ เพราะพระคำของพระเจ้า นั้นจะไม่ สูญสิ้นไป

แบบทดสอบตนเอง

1. น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับท่านคือ

ก. สร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยความรัก
ข. ให้เคร่งครัดในศาสนา
ค. ห้มีการศึกษารูปแบบของพระคัมภีร์

2. การศึกษาพระคัมภีร์มีความสำคัญต่อท่านในการ

ก. เริ่มเป็นคริสเตียน
ข.ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า
ค. พิสูจน์คุณความดีของท่าน

3. การเชื่อฟังพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กั

ก. การที่ท่านตอบสนองเมื่อท่านได้รับความรอด
ข. เรียนรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับท่าน
ค. ทราบว่าพระเจ้าจะลงโทษหากท่านไม่เชื่อฟัง

4. ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด ในการศึกษาพระคัมภีร์ โดยการ

ก. ขอให้เพื่อนของท่านช่วยเหลือ
ข. ให้เวลากับมัน
ค.  ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน

5. ใครที่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้เป็นอย่างดีที่สุด

ก. ตัวเราเอง
ข.ผู้ปกครองของเรา
ค. พระเจ้า

6. พระคัมภีร์สอนว่า

ก. ท่านจะได้รับการนิยมชมชอบอย่างไร
ข. น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับท่านเป็นส่วนตัวเป็นอย่างไรบ้าง
ค. ด้วยเรื่องศาสนาต่าง ๆ ของโลกนี้

7. พระคำของพระเจ้าตอบสนองความต้องการของเราได้โดย

ก. สอนเรื่องความจริง
ข. กล่าวโทษคุณ
ค. แก้ไขเรื่องความผิดพลาด
ง. เป็นการชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

8. คนที่ไม่เป็นคริสเตียนจะไม่มีทางเข้าใจพระคำอย่างแท้จริงเพราะ (อ่าน 1 โครินธ์ 2:10-12 )

ก. เขารับการสอนไม่ได้
ข. เขาไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้า
ค. เขาไม่กระหายความจริง

9. ท่าทีของท่านในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าจำต้องมีสิ่งเหล่านี้ ยกเว้น

ก. ความหิวกระหาย

ข. ความเชื่อฟัง
ค. การสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้น
ง. ระเบียบวินัย
จ. การไม่ยอมรับการสอนจากผู้อื่น
ฉ. ความถ่อมใจ

10. ท่าทีที่แท้จริงต่อพระคำของพระเจ้าจะพัฒนาขึ้นเมื่อเรา

ก. คิดว่าเราฉลาด
ข. เปิดใจต้อนรับพระคำ
ค. ได้เรียนทุกสิ่งทุกอย่าง

เดี๋ยวนี้ ท่านคงจะทราบมากขึ้นแล้วว่า ทำไมท่านต้องการศึกษาพระคำของพระเจ้า และท่านจะใช้พระคำของพระเจ้าอย่างไร ท่านจะได้ศึกษาในบทเรียนครั้งต่อไป

คำตอบ

1.  ก) สร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยความรัก

2.  ข) ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า

3.  ข) เรียนรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับท่าน

     ง) เป็นการชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

4.  ค) ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเรา

5.  ค) พระเจ้า

6. ข) น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเราเป็นส่วนตัวเป็นอย่างไรบ้าง

7.  ก) สอนเรื่องความจริง

    ค) แก้ไขเรื่องความผิดพลาด

8. ข) เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

9.  ค) การสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้น

10.ข) เปิดใจต้อนรับพระวจนะ                                                                   บทที่ 2  >>

GUEST BOOK / WEB BOARD / SHARE&CARE / KIDS CENTER / FAMILY / COMPOSITION / PRAY CENTER / BIBLE STUDY /ARTICLES /MALL CENTER / NEWS / PICTURES / CONTACT US / WEB LINKS / PRAISE&WORSHIP/ HOME